Prich99
พีริช มาร์เก็ตติ้ง 99 จำกัด

Search
Close this search box.
ดูแลสุขภาพ

Beta Glucan เป็นสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต พบได้ในผนังเซลล์ของแบคทีเรีย เชื้อรา ยีสต์ สาหร่าย หรือพืชชนิดต่าง ๆ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระประเภทหนึ่ง ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงความแข็งแรงให้เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของเราแข็งแรง ร่างกายก็จะสามารถปกป้องเราจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือเชื้อโรคต่าง ๆ อย่างเช่น ไวรัส แบคทีเรีย ปรสิต เชื้อรา หรือเซลล์ร่างกายที่ผิดปกติได้

 

Beta Glucan ยังมีคุณสมบัติอื่น ๆ เช่น ช่วยดูแลระดับไขมันคอเลสเตอรอล เพราะเป็นใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ ซึ่งมีคุณสมบัติจับกับไขมันในทางเดินอาหารได้ และประโยชน์ที่เด่นชัดกว่าสารอาหารอื่น ๆ คือ ช่วยในการป้องกันโรคมะเร็งได้ดี เพราะสามารถกระตุ้นเม็ดเลือดขาวขนาดใหญ่Macrophage ให้สามารถออกมากัดกินสิ่งแปลกปลอมในร่างกายอย่างเช่นเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย

 

บางครั้งแพทย์จะฉีดBeta Glucan เข้าสู่กระแสเลือดของผู้ป่วย เพื่อรักษาโรคมะเร็งและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยHIV/AIDS และบางกรณีแพทย์ฉีดเข้ากระแสเลือดผู้ป่วยเพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังการผ่าตัดได้อีกด้วย โดยBeta Glucan สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดสูง, เบาหวาน, มะเร็ง, HIV, ความดันโลหิตสูง, ผู้ป่วยที่มีผิวหนังอักเสบเปื่อยยุ่ย, ผู้ป่วยที่มีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง, ผู้ที่มีภาวะเครียด, ผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด, ผู้ที่เป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่, ผู้ที่ติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร, ภูมิแพ้, ตับอักเสบ, หอบหืด, ลำไส้อักเสบ, ผู้ที่มีอาการปวดหลังการผ่าตัด, ไปจนถึง ผู้ที่มีโรคกระดูกและข้ออักเสบ เป็นต้น

 

Beta Glucan สามารถพบได้จากที่ใดบ้างและแตกต่างกันอย่างไร

 

Beta Glucan สามารถสกัดได้จากแหล่งต่าง ๆ หลายแหล่งตามธรรมชาติ เช่น เห็ด ข้าวบาร์เลย์ ยีสต์ ข้าวโอ๊ต สาหร่ายทะเล และโสม เป็นต้น ซึ่งแต่ละแหล่งที่มาจะสามารถผลิตBeta Glucan ได้ประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน โดยผลการศึกษาวิจัยจากมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ระดับโลกหลายแห่ง รวมถึงมหาวิทยาลัยJohn Hopkins และมหาวิทยาลัยLouisville แห่งสหรัฐอเมริกาได้ค้นพบว่าBeta Glucan ที่สกัดจากยีสต์ขนมปัง (Saccharomyces cerevisiae) จะมีประสิทธิภาพต่อร่างกายมนุษย์สูงที่สุด

 

Beta Glucan จากยีสต์ขนมปัง คือสารอาหารที่ประกอบไปด้วยน้ำตาลกลูโคสที่มาเรียงต่อกันเป็นสายยาว โดยเป็นส่วนของผนังเซลล์ที่ต้องสกัดออกมาจึงจะสามารถใช้ประโยชน์ได้ ร่างกายของเราจึงไม่ได้รับสารBeta Glucan ผ่านทางการรับประทานขนมปังหรือยีสต์ชนิดเม็ด เนื่องจากในร่างกายไม่มีเอนไซม์สำหรับย่อยBeta Glucan ออกจากผนังเซลล์ของยีสต์นั่นเอง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องรับประทานBeta Glucan ที่เป็นสารสกัดเท่านั้น โดยเม็ดเลือดขาวในลำไส้จะมีการจับBeta Glucan ไปใช้ จากนั้นนำไปที่ต่อมน้ำเหลืองและไขกระดูก ทำให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเกิดการสร้างสมดุล และเกิดการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงอีกด้วย

 

เปรียบเทียบBeta Glucan จากยีสต์ขนมปัง และBeta Glucan ที่พบจากแหล่งอื่น ๆ

 

Beta Glucan จากยีสต์ขนมปัง (Saccharomyces cerevisiae) และBeta Glucan ที่พบในเห็ดเป็นโครงสร้าง 1,3/1,6 กลูแคนเหมือนกัน ถึงแม้ว่าเห็ดจะเป็นสมุนไพรที่มีสารอาหารและคุณประโยชน์มากมายหลายชนิดและหนึ่งในสารเหล่านั้นคือBeta Glucan นั่นเอง แต่การรับประทานเห็ดจะได้รับสารBeta Glucan ในปริมาณที่น้อยกว่าการรับประทานBeta Glucan จากยีสต์ และในบางกรณีบางคนอาจเกิดอาการแพ้สารบางชนิดที่เป็นส่วนประกอบในเห็ดเวลาที่รับประทานเข้าไปได้ ดังนั้นผู้ที่รับประทานBeta Glucan ที่สกัดจากยีสต์ จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะร่างกายจะได้รับเฉพาะสารBeta Glucan บริสุทธิ์จากธรรมชาติ 100% โดยปราศจากผลข้างเคียงต่อร่างกายอีกด้วย

 

Beta Glucan จากยีสต์ขนมปัง (Saccharomyces cerevisiae) และ ยีสต์สุรา (brewer yeast) เป็นชนิดเดียวกัน คือ โครงสร้าง 1,3/1,6 กลูแคน แต่การสกัดBeta Glucan จากยีสต์สุรานั้นมีปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับที่ได้จากยีสต์ขนมปัง ดังนั้นผู้ที่รับประทานBeta Glucan ที่สกัดจากยีสต์ จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะนอกจากจะสามารถให้สารสกัดBeta Glucan ที่มากกว่าแล้ว ยังปราศจากผลข้างเคียงต่อร่างกายอีกด้วย

 

Beta Glucan สำคัญต่อร่างกายอย่างไร

 

Beta Glucan จะทำหน้าที่ในการกระตุ้นเม็ดเลือดขาว (Macrophage) ที่มีหน้าที่ป้องกันและส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาโจมตีร่างกาย Macrophage เป็นเซลล์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน โดยทำหน้าที่ดูดกลืนและทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย แล้วผลิตสารเคมีที่ส่งสัญญาณให้เซลล์ที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันเซลล์อื่น ๆ เคลื่อนที่มายังจุดที่ติดเชื้อเพื่อให้ต่อสู้กับเชื้อแปลกปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้Macrophage ยังทำหน้าที่ผลิตสารที่ช่วยในการเจริญเติบโตให้กับเซลล์ที่ทำหน้าที่ซ่อมแซมเนื้อเยื่อส่วนที่มีการเสียหายอีกด้วย

 

การรับประทานBeta Glucan จะแตกต่างกับสารอาหารประเภทอื่น เนื่องจากBeta Glucan มีความทนทานต่อกรด ดังนั้นจึงไม่เปลี่ยนแปลงสภาพเมื่อผ่านบริเวณกระเพาะอาหาร และMacrophage ที่อยู่ในเมือกเคลือบผนังลำไส้ก็สามารถจับกับBeta Glucan โดยใช้Beta glucan receptor โดยจะเกิดการกระตุ้นการทำงานของเซลล์บริเวณนั้น หลังจากนั้นจะสามารถกลับไปยังต่อมน้ำเหลือง และMacrophage ยังทำหน้าที่ในการทำเครื่องหมายให้T cell สามารถจดจำสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาได้ ก่อให้เกิดการกระตุ้นภูมิคุ้มกันอย่างเป็นระบบต่อการถูกรุกรานจากสิ่งแปลกปลอมในคราวหน้านั่นเอง

 

 

 

Beta Glucan กับโรคภูมิแพ้

 

หนังสืออ้างอิง: เบต้ากลูแคน ดีที่สุดในโลกที่มนุษย์เคยค้นพบ (ศ.ดร.นพ.สมศักดิ์ วรคามิน)

 

โรคภูมิแพ้ (Allergy) คือความผิดปกติจากภาวะภูมิไวกว่าปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ต่อสิ่งภายนอก หรือเรียกว่า สารก่อภูมิแพ้ ที่เข้าสู่ร่างกาย เมื่อร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ ร่างกายจะเกิดการหลั่งสารอิสตามีน (Histamine) ออกมา และมีปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายตามบริเวณต่าง ๆ เช่นผื่นคัน ลมพิษ แสบตา ตาแดง บวม น้ำมูกไหล หายใจติดขัด แน่นจมูก เยื่อจมูกอักเสบ ในบางรายรุนแรงมากขึ้น และถึงขั้นเสียชีวิตได้

 

ทั้งนี้ยังมีโรคที่เกิดจากภูมิแพ้ เช่น โรคหอบหืด, ลมพิษ, แพ้อาหาร, ไซนัส โพรงจมูกอักเสบ, คัดจมูก, แพ้แมลง ซึ่งสาเหตุของภูมิแพ้พบได้ทั้งจากกรรมพันธุ์ และ สิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัย ส่วนการรักษาภูมิแพ้ในปัจจุบัน คือการหลีกเลี่ยงสิ่งที่รู้ว่าแพ้ การใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ รวมถึงการรักษาด้วยการรับประทานBeta Glucan อีกด้วย

 

โดยในปี ค.ศ.1960 (พ.ศ.2503) ดร.นิโคลัส ไดลูซิโอ และคณะวิจัยได้พิมพ์รายงานออกมาเพื่ออธิบายถึงกลไกการทำงานของ เบต้ากลูแคน ต่อการต้านเชื้อแบคทีเรีย และวิธีระงับการเกิดมะเร็ง(Di Luzio NR, int. J Cancer) จากการสังเกตของทีมวิจัย มีผลออกมาว่า การสร้างภูมิต้านทานของBeta Glucan เกิดจากกระบวนการกระตุ้นการทำหน้าที่ของเซลล์เม็ดเลือดขาวMacrophage หรือเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิดกินเชื้อโรคPhagocyte รวมถึงเซลล์เพชฌฆาตNK Cell ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวเหล่านี้เมื่อได้รับBeta Glucan เข้าไปจะทำให้ประสิทธิภาพการจัดการกับสิ่งที่ผิดปกติในร่างกายได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก

 

นอกจากBeta Glucan จะกระตุ้นภูมิต้านทานร่างกายให้ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยเพิ่มปริมาณของเม็ดเลือดขาวที่ผลิตออกมาที่ไขกระดูก (Bone Marrow) ได้ด้วย เมื่อร่างกายได้รับBeta Glucan เข้าไปแล้ว จะทำหน้าที่ในการปรับระดับภูมิต้านทานที่ผิดปกติ ควบคุมการหลั่งสารแอนติบอดี้ ช่วยให้เม็ดเลือดขาวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และปรับสมดุลภูมิคุ้มกันในร่างกาย จึงสามารถลดโอกาสการเกิดภูมิแพ้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

 

 ใครบ้างที่ควรบริโภคBeta Glucan

 

ผู้ที่ต้องการรักษาสภาพหรือเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันของตัวเอง

 

ผู้ที่มีความเครียดเป็นประจำ

 

ผู้ที่ประสงค์ที่จะชะลอความชราภาพ

 

ผู้ที่มีโรคภูมิแพ้, แพ้ภูมิตัวเอง, โรคติดเชื้อ, แผลหายช้าและหายไม่สมบูรณ์ รวมทั้งผู้ได้รับเชื้อHIV/AIDS หรือมะเร็งควรได้รับBeta Glucan ทุกวันเพราะในแต่ละวัน ระบบภูมิคุ้มกันจะเปลี่ยนแปลง เป็นช่วงที่ง่ายต่อการเจ็บป่วย

 

คนป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุต่าง ๆ รวมทั้งอาการล้า อ่อนเพลียเรื้อรัง หรือ เชื้อไวรัสที่มีการติดเชื้อระยะยาวหรือถาวร เบต้ากลูแคนสามารถยกระดับความต้านทานได้

 

คนที่ได้รับความทุกข์ ทรมานจากโรคเสื่อมเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน หรือการอักเสบเรื้อรัง อาจได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของBeta Glucan

 

ผู้ที่ได้รับสารพิษทางสิ่งแวดล้อม, รังสีUV และพิษต่าง ๆ สามารถได้ประโยชน์จากฤทธิ์สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)  Beta Glucan อีกด้วย

 

ประโยชน์ของBeta Glucan

 

ช่วยโรคเบาหวาน :Beta Glucan สามารถชะลอไม่ให้น้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดเร็วเกินไป ทำให้สามารถลดระดับความต้องการอินซูลินของร่างกายลงได้ และยังช่วยฟื้นฟูสภาพของตับอ่อน ซึ่งทำหน้าที่ผลิตอินซูลินตามธรรมชาติ ให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย

 

ลดปัญหาโรคOffice Syndrome : ไม่ว่าจะเป็นความเครียดจากการทำงาน การนั่งกับที่เป็นเวลานาน อาการปวด เมื่อย ล้า กล้ามเนื้อต่าง ๆ รวมทั้งมลพิษทางอากาศ ที่ส่งผลให้เกิดความเจ็บป่วย หรือติดเชื้อได้ง่าย ภูมิคุ้มกันต่ำ และเป็นไมเกรน เป็นต้นBeta Glucan สามารถทำให้ร่างกายของเราหายจากการเหนื่อยล้า ส่งผลให้ความเครียดลดลง ลดอาการปวดหัว และจิตใจสดชื่นแจ่มใสขึ้นได้อีกครั้ง เนื่องจากBeta Glucan สามารถช่วยเพิ่มภูมิต้านทานร่างกายให้เข้มแข็งนั่นเอง

 

ชะลอความแก่ :Beta Glucan สามารถกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวLangerhans Cell ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันสำหรับผิวหนัง ให้ออกมากินสิ่งแปลกปลอมเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และกระตุ้นให้ร่างกายผลิตสารคัดหลั่งที่มีประโยชน์ต่อผิวหนัง ช่วยไม่ให้ผิวหนังเกิดการบอบช้ำมาก นอกจากนี้ยังสามารถกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังสร้างคอลลาเจน (Collagen), อิลาสติน (Elastin) และกรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic acid) ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้ผิวหนังเรียบตึงดูอ่อนวัยนั่นเอง

 

ช่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง :Beta Glucan มีคุณสมบัติเข้าไปช่วยเพิ่มจำนวนและกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาว ที่คอยจำแนกสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้สามารถตรวจพบสิ่งผิดปกติได้ดีขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันที่เคยทำงานผิดปกติ สามารถกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

ลดการติดเชื้อ :Beta Glucan ช่วยลดปัญหาการติดเชื้อต่าง ๆ ทั้งการติดเชื้อจากการผ่าตัด และการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด โดยเพิ่มจำนวนและประสิทธิภาพของเซลล์ และยังมีการกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวให้เพิ่มภูมิคุ้มกันมากขึ้นด้วย

 

รักษาและบรรเทาระบบทางเดินอาหาร :Beta Glucan ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก หรือโรคที่เกิดจากภาวะทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี เพราะมีคุณสมบัติที่ช่วยดีท็อกซ์ลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายกลับสู่ภาวะปกติ เนื่องจากมีไฟเบอร์สูง ทำให้อิ่มท้องง่าย Beta Glucan ยังเป็นอาหารของพรีไบโอติกในลำไส้ ที่จะช่วยเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ลดภาวะกรดไหลย้อน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคทางเดินอาหารได้

 

ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ตัวเอง :Beta Glucan ช่วยปรับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม โดยเข้าไปลดสารที่กระตุ้นให้ร่างกายเกิดอาการภูมิแพ้ และยังควบคุมไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานมากเกินไปอีกด้วย

 

ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแดง :Beta Glucan จะช่วยให้คอเลสเตอรอลในเลือดลดลงได้ ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลดความเสี่ยงของโรคไขมันอุดตันในหลอดเลือดแดง ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้สะดวก และป้องกันความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจอย่างได้ผล

 

แก้ปัญหาต่าง ๆ ของผู้สูงอายุ :Beta Glucan ช่วยเสริมและปรับระดับภูมิต้านทานให้กับผู้สูงอายุที่มีระบบภูมิต้านทานเสื่อมถอย ทำให้เกิดปฏิกิริยาป้องกันการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุของไข้หวัด และยังเข้าไปลดการทำลายข้อจากการออกซิเดชั่นที่ทำให้ข้อเข่าอักเสบ นอกจากนี้Beta Glucan ยังสามารถกระตุ้นระบบประสาทให้ทำหน้าที่กำจัดสิ่งสกปรกออกจากเซลล์สมอง ทำให้มีความจำดีขึ้น ลดโอกาสการเป็นอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย

 

บรรเทาโรคมะเร็ง :Beta Glucan ช่วยให้เม็ดเลือดขาวทำลายเชื้อโรค และเซลล์แปลกปลอมได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม และยังเพิ่มจำนวน และกระตุ้นการทำงานของเลือด ให้กำจัดเซลล์มะเร็งได้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญ สามารถทานร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบันได้ทั้งก่อนและหลังทำคีโมบำบัด โดยช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้รวดเร็ว และไม่มีอาการข้างเคียงใด ๆ สามารถฟื้นตัวจากการกดไขกระดูกของเคมีบำบัดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

 

ช่วยสมานแผล :Beta Glucan สามารถรักษาแผลผิวหนังอักเสบได้ โดยจะเข้าไปเพิ่มภูมิต้านทานของเม็ดเลือดขาวให้เข้มแข็ง และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นตัวหลักในการรักษาแผลทุกชนิด และรักษาอาการผิวแห้ง เพราะมีส่วนช่วยให้แผลหายไว รอยแผลเป็นจางลง ลดการติดเชื้อ และลดอัตราการตายของเซลล์ได้

 

ช่วยเรื่องการผ่าตัด :Beta Glucan มีคุณสมบัติในการช่วยเหลือ ลดความจำเป็นในการใช้ยาปฏิชีวนะก่อนและหลังการผ่าตัด และยังช่วยในการรักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อร้ายแรง และยังรักษาแผลเรื้อรัง รวมถึงป้องกันแผลไม่ให้ติดเชื้อ และสมานแผลได้อย่างรวดเร็ว นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีของคนที่ต้องได้รับการผ่าตัดนั่นเอง

 

ปริมาณที่เหมาะสมที่ควรรับประทานเบต้ากลูแคน

 

ปริมาณเบต้ากลูแคนที่ควรรับประทานโดยประมาณคือ 2  มิลลิกรัม ต่อ น้ำหนัก 1 กิโลกรัม/วัน ตามปกติสามารถรับประทานได้ทุกช่วงเวลา แต่เพื่อรักษาประสิทธิภาพในการทำงานของBeta Glucan ควรรับประทานในเวลาท้องว่างจึงจะได้ผลดีที่สุด อาจเป็นเวลาเช้าหรือก่อนนอนก็ได้ เนื่องจาก เวลาเช้าหลังจาก ตื่นนอนเป็นช่วงเวลาที่กระเพาะอาหารและระบบลำไส้ไม่ต้องทำงานหนักในการย่อยอาหาร ส่วนการรับประทานเวลาก่อนนอน เป็นการกระตุ้นระบบภูมิต้านทานโรคได้ดี เพราะขณะที่ร่างกายนอนหลับพักผ่อน ระบบเซลล์ต่าง ๆ รวมถึงภูมิต้านทานในร่างกายจะทำงานอย่างเต็มที่Beta Glucan จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของภูมิต้านทานในการต่อสู้เชื้อโรค สิ่งแปลกปลอมและซ่อมแซม ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้แข็งแรงอีกทั้งยังช่วยป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระที่มาจากการทำงานหนักมากเกินไปของเซลล์ร่างกายได้อีกด้วย

 

ผู้ที่เริ่มบริโภค เบต้ากลูแคน ในช่วงเริ่มต้น บางคนอาจมีอาการรุมไข้ มีอาการเหมือนท้องเสีย ถ่ายท้อง มีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย อ่อนเพลียต้องการหลับพักผ่อนมากกว่าปกติ อาการเหมือนท้องผูก อาการคอแห้ง อาการนอนไม่หลับ ซึ่งอาการดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นผลจากการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้กลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ หรือเป็นการปรับตัวของระบบพื้นฐาน เช่น ระบบการไหลเวียนโลหิต ระบบฮอร์โมน ระบบการผลิตเม็ดเลือด เป็นต้น ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรดื่มน้ำในปริมาณที่มากขึ้น

 

ผลข้างเคียงที่เกิดจากการรับประทานBeta Glucan

 

 

การได้รับเบต้ากลูแคนเข้าสู่ร่างกายสำหรับผู้ใหญ่ จะมีแนวโน้มปลอดภัยมากที่สุดโดยการับประทานการฉีดเข้าเส้นเลือดดำ หรือกล้ามเนื้อ ไม่ควรใช้ต่อเนื่องกัน และไม่ควรฉีดในปริมาณที่มากกว่า 15 กรัมต่อวันดีที่สุด จากการศึกษาของนักวิจัยต่างประเทศมากมาย ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า การรับประทานBeta Glucan มีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นอย่างไรเนื่องจากยังไม่มีการพบผลข้างเคียงจากการรับประทาน แต่สำหรับการให้Beta Glucan ทางกระแสเลือด จะมีผลทำให้เกิดอาการหนาวสั่น มีไข้ และปวดบริเวณที่ฉีดได้ รวมถึงปวดตามข้อ คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ มีผดผื่น

 

ส่วนผู้ป่วยที่มีเชื้อHIV จะมีผิวที่มือและเท้าหนาขึ้น จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่ใช้Beta Glucan ฉีดเข้าสู่เส้นเลือดติดต่อกัน ต้องอยู่ในคำแนะนำและความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

 

นอกจากนี้สำหรับใครที่กำลังตั้งครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างที่ต้องมีกิจกรรมการให้นมบุตรก็ควรจะหลีกเลี่ยงการรับสารBeta Glucan เป็นการดีที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย เนื่องจากคุณแม่ที่เพิ่งตั้งครรภ์ หรือเพิ่งคลอด มีภูมิคุ้มกันต่ำ จึงไม่ควรที่จะเสี่ยงต่อการนำสารแปลกปลอมที่นอกเหนือจากที่ร่างกายผลิตขึ้นเองได้มาใช้งานนั่นเอง

สุขภาพดี เริ่มต้นที่ “ภูมิคุ้มกัน”  การที่เราไม่เจ็บป่วยง่ายๆ เพราะร่างกายมีภูมิคุ้มกัน(หรือภูมิต้านทาน)คอยปกป้องอยู่ ภูมิคุ้มกันเป็นกลไกการป้องกันตนเองอย่างหนึ่งของร่างกาย เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายและอาจเป็นโทษ ระบบภูมิคุ้มกันก็จะออกมาต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมนั้น ร่างกายจึงอยู่ได้อย่างปกติสุข เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักกับภูมิคุ้มกันดีขึ้นว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร หากเราจะเสริมสร้างภูมิคุ้มกันจะทำได้อย่างไร “หมอชาวบ้าน” ฉบับนี้จึงได้เชิญ ศ.ดร.อานนท์ บุณยะรัตเวช ผู้เชี่ยวชาญจากภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มาตอบคำถามและให้ความรู้กับท่านผู้อ่านด้วยภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย

 

กลไกการทำงานของภูมิคุ้มกัน

การทำงานของภูมิคุ้มกัน เรียกรวมกันว่า ระบบภูมิคุ้มกัน (immune system) ในการทำงานแบ่งเป็น ๒ ระบบ คือ อาศัยเซลล์โดยตรง และอาศัยเซลล์โดยอ้อม ซึ่งทำงานสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน เรียกว่ารวมกันเป็นกองกำลังติดอาวุธและประจัญบานต่อต้านผู้บุกรุก ไม่ให้รุกรานร่างกาย

 

ภูมิคุ้มกันที่อาศัยเซลล์โดยตรง คือ เมื่อมีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายและเม็ดเลือดขาวไปพบเข้าก็จะจับกินทำลายเสียเปรียบ กับการประจันหน้าศัตรูและใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกัน

สำหรับภูมิคุ้มกันที่อาศัยเซลล์โดยอ้อม คือ เมื่อเชื้อโรคเข้ามา เซลล์จะสร้างสารต่อต้าน สิ่งแปลกปลอมขึ้นมาเรียกว่า แอนติบอดี(antibody) แอนติบอดีจะไปจับกับสิ่งแปลกปลอมเหมือนแม่กุญแจกับลูกกุญแจ ทำให้สิ่งแปลกปลอมไม่สามารถแผลงฤทธิ์กับร่างกายได้ การสร้างสารภูมิคุ้มกันนั้น ในขั้นแรกเมื่อมีเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเข้ามา จะมีเซลล์ไปทำความรู้จักกับเชื้อโรคแล้ว บรรจุข้อมูลส่งไปให้เซลล์ที่มี หน้าที่สร้างสารต่อต้าน หากเคยรู้จักแล้วก็จะสร้างสารต่อต้านออกมาเลย แต่ถ้ายังไม่เคยรู้จักเลยก็จะต้องส่งต่อให้เซลล์อีกตัวถอดรหัสก่อน เพื่อที่จะสร้างสาร ต่อต้านให้ถูกชนิดกับเชื้อโรคที่เข้ามา

 

สารภูมิคุ้มกัน(แอนติบอดี) แต่ละชนิดจะมีอายุไม่เท่ากัน บางชนิดก็อยู่ได้ไม่นาน บางชนิดก็อยู่ได้หลายปี บางชนิดก็อยู่ได้ตลอดชีวิต เช่น วัคซีน หัดเยอรมันที่คุ้มกันได้ตลอดชีวิต

 

ทำไมจึงไม่สบาย

ในเมื่อร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ทำไมบางครั้งเราจึงยังเจ็บป่วยได้อีก

คุณเคยสงสัยหรือเปล่าว่า ทำไมบางคนจึงแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บป่วย แต่บางคนอ่อนแอไม่สบายบ่อย อะไรเป็นปัจจัยให้แต่ละคนมีความต้านทานโรคต่างกัน

ความเจ็บไข้ได้ป่วยหรือความต้านทานโรคที่ต่างกันขึ้นอยู่กับ ๒ ปัจจัย คือ

๑. กรรมพันธุ์ปัจจัยนี้ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่ละคนมีระบบภูมิคุ้มกันที่ได้รับการถ่ายทอดจากพ่อแม่ ฉะนั้นหากพ่อแม่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดี ลูกก็ย่อมจะมีภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย หากพ่อหรือแม่มีภูมิคุ้มกันบางจุดบกพร่อง ลูกก็อาจได้รับถ่ายทอดในจุดที่บกพร่องได้เช่นกัน แต่โดยทั่วๆไปภูมิคุ้มกันก็จะได้มาตรฐานระดับหนึ่ง

๒. สุขภาพร่างกายคนที่มีสุขภาพร่างกายอ่อนแอ ไม่ค่อยออกกำลังกาย กินอาหารไม่ครบหมู่ ขาดการดูแลสุขภาพ เมื่อได้รับเชื้อโรค ร่างกายจะต้องสร้างสารภูมิคุ้มกันได้เร็วและมากพอจึงจะกำจัดเชื้อโรคได้ ถ้าร่างกายอ่อนแอก็ทำให้ระบบอ่อนไป การสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายก็ไม่ค่อยดี จึงเกิดความเจ็บป่วยขึ้น

นอกจากการไม่ดูแลสุขภาพแล้ว การติดสารเสพติด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ก็ทำลายสุขภาพด้วย

 

เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ถึงแม้แต่ละคนจะมีภูมิคุ้มกันที่ได้รับถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ต่างกัน แต่ก็สามารถมีภูมิคุ้มกันที่ดีได้เหมือนกัน หากมัวแต่คิดว่าเป็นปัจจัยทางพันธุกรรมแล้วไม่สู้โรค ก็เหมือนเป็นการซ้ำเติม ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงไปอีก แต่ถ้าไม่ยอมแพ้ธรรมชาติ พยายามสร้างเสริม บางอย่างก็อาจจะดีขึ้น หรือการแพ้บางอย่างอาจจะหายไปเลยก็ได้

การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันก็มีหลักง่ายๆ ดังนี้

๑. อาหารกินอาหารให้ครบทุกหมู่และเพียงพอ และอาหารที่กินควรมีคุณภาพดี เช่น สด สะอาด ปนเปื้อนน้อยที่สุด ไม่กินอาหารหมักดอง อาหารที่ทอดหรือย่างจนไหม้เกรียม

๒. ออกกำลังกายการออกกำลังกายจะทำให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น มีการแตกแขนงของหลอดเลือดในเนื้อเยื่อต่างๆมากขึ้น ทำให้เม็ดเลือดขาวหรือภูมิคุ้มกันเข้าสู่ในเนื้อเยื่อต่างๆได้ง่าย เมื่อมีเชื้อโรคเข้ามาก็เข้าไปจัดการได้เร็ว

๓. ทำจิตใจให้เบิกบานจิตใจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินหรือสารสุขในร่างกาย สารนี้พอหลั่งออกมาทำให้ระบบการทำงานของเซลล์ดีขึ้น ในทางตรงข้ามหากจิตใจห่อเหี่ยว เศร้า เป็นทุกข์ ร่างกายจะหลั่งสารทุกข์ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ไม่ดี ร่างกายอาจเจ็บป่วยได้

สารเอ็นดอร์ฟินจะหลั่งเมื่อจิตใจมีความสุข สงบ เบิกบาน ฉะนั้นการคิดแต่สิ่งดีๆ คิดช่วยเหลือผู้อื่น คิดในด้านบวก ก็เป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เช่นกัน

วิตามินซี หรือชื่อเต็มๆว่า กรดแอสคอบิค (Ascobic Acid)  เป็นวิตามินที่สามารถละลายในน้ำ โดยที่ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้จำเป็นต้องได้รับวิตามินชนิดนี้จากการรับประทาน โดยมากวิตามินซีจะอยู่ในกลุ่มของอาหารประเภทผักและผลไม้ชนิดต่างๆ พบมากในส้ม สับปะรด มะขาม สตอร์เบอร์รี่ ฝรั่ง มะนาว มะเขือเทศ  จำเป็นต้องได้รับจากการทานเข้าไป มีหน้าที่หลักๆ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ซึ่งจะป้องกันร่างกายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเกิดจากขบวนการสันดาปในร่างกาย หรือจากมลพิษ สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ซึ่งจะทำให้เซลล์ต่างๆ เสื่อม หรืออาจเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ที่ผิดปกติได้USA Vitamin C recommendations ได้กำหนดขนาดที่ควรได้รับ ดังนี้ ผู้ชาย ผู้ใหญ่90 mg/ day , ผู้หญิง ผู้ใหญ่75 mg/ day

 

ประโยชน์ของ วิตามินซี เราทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า วิตามินซี มีประโยชน์มากมากหลายอย่าง ไม่ว่าจะช่วยปกป้องเซล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับ เส้นเอ็น และคอลลาเจน ก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกาย และ วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้น

 

วิตามินซี ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ เช่น

 

  • วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันกันสันดาปของเซลล์ ช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา เช่น ต้อหิน ต้อกระจก ตาบอดเฉียบพลัน
  • ช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจาก วิตามินซี สามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ แสงอุลตร้าไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก มีการศึกษาอันหนึ่งพบว่าผู้หญิงที่รับประทานวิตามินซีมาอย่างน้อย10ปี พบว่ามีความเสี่ยงที่จะมีอาการเลนส์ตาขุ่นมัวซึ่งเป็นอาการเริ่มแรกของโรคต้อกระจก ลดลงถึง77%
  • ช่วยบรรเทาความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรคหวัด หากเริ่มรับประทาน วิตามินซี ตั้งแต่เริ่มแรก จะช่วยให้ลดความรุนแรงและหายได้เร็วขึ้น
  • ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น เนื่องจาก วิตามินซี ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยการไปเสริมสร้างผนังเซล ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง และต่อต้านอาการอักเสบ
  • ช่วยเพิ่มความต้านทานต่อ โรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับ คลอเรสเตอรอล ในร่างกาย
  • เนื่องจาก วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี จึงอาจจะช่วยในการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง ได้ มีการศึกษาอย่างมากในเรื่องนี้แต่ก็ยังไม่ข้อสรุปที่ชัดเจน
  • บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส ทั้งนี้เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว วิตามินซี มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านภูมิแพ้ต่างๆ เป็นต้น

 

 

ปริมาณการรับประทานที่เหมาะสม

ไม่ควรทานเกิน2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือมากจนเกิดอาการถ่ายเหลวนั่นแสดงว่าได้รับวิตามินซีปริมาณมากเกินไป หรือดูข้างขวดผลิตภัณฑ์นั้นๆ ซึ่งจะกำกับปริมาณการรับประทานที่เหมาะสมจาก อย.และควรดื่มน้ำตามมากๆ ทั้งนี้ วิตามินซีสามารถรับประทานได้ในทุกเพศ ทุกวัย