Prich99
พีริช มาร์เก็ตติ้ง 99 จำกัด

Search
Close this search box.
ดูแลสุขภาพ

หาย “ปวดท้อง” ง่ายๆ ฉบับผู้หญิง  แค่ต้องเผชิญกับการทำงานก็ว่าแย่แล้ว นี่ยังต้องทนทรมานกับอาการปวดหน่วงๆ บริเวณท้องน้อย ที่มาพร้อมอาการเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวในช่วงวันนั้นของเดือนอีก จนเผลอหงุดหงิดพาลใส่เพื่อนร่วมงานอยู่บ่อยๆ เชื่อว่าหลายคนน่าจะเป็นกันใช่ไหมคะ?นับได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้หญิงอย่างเรากันเลยทีเดียว เอาอย่างงี้ดีไหมคะ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เราไปดูกันดีกว่าค่ะ

 

5 วิธีรับมือง่ายๆ กับอาการปวดประจำเดือน

  • เริ่มมื้อเช้าด้วยเมนูย่อยง่าย เช่น โจ๊ก หรือนมอุ่นๆ คู่กับขนมปัง ก็จะช่วยให้สบายท้องมากขึ้น และควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทั้งกาแฟ ชา น้ำอัดลม เพราะคาเฟอีนมีฤทธิ์ขับปัสสาวะซึ่งจะทำให้อาการปวดในช่องท้องหนักมากขึ้น และควรดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ เพื่อช่วยรักษาความสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen)

 

 

  • จิบน้ำอุ่น ระหว่างวันการดื่มน้ำอุ่นจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้หายจากอาการปวดประจำเดือน อาจเลือกเป็นน้ำอุ่นธรรมดา น้ำผึ้งผสมมะนาว หรือน้ำขิงอุ่นๆ ก็ได้

 

 

  • จัดหนัก ผักไฟเบอร์ ช่วงมื้อเที่ยง การรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์มาก นอกจากจะดีต่อระบบขับถ่ายแล้วยังช่วยปรับฮอร์โมนในร่างกายให้สมดุล เพราะอาหารที่มีไฟเบอร์สูง แคลอรีต่ำจะช่วยลดอาการฮอร์โมนแปรปรวนและลดการปวดท้องและปวดหลังในช่วงมีประจำเดือนได้

 

 

  • ใช้ความร้อนเข้าช่วย เชื่อว่าหลายคนมีกระเป๋าน้ำร้อนเตรียมไว้ เพราะเมื่อถึงวันนั้นของเดือนทีไรเป็นต้องหยิบขึ้นมาใช้ทุกที นั่นก็เพราะว่าความร้อนสามารถช่วยทำให้กล้ามเนื้อที่ตึงๆ ผ่อนคลายลง และยังช่วยบรรเทาอาการปวดได้

 

 

  • ยืด – เหยียด กล้ามเนื้อเป็นระยะ แม้ในช่วงวันนั้นของเดือนจะรู้สึกไม่สบายตัวและกลัวเลอะ ทำให้หลายคนไม่ค่อยอยากจะลุกเดินบ่อยๆ แต่รู้ไหมว่า?การนั่งแช่อยู่บนเก้าอี้เป็นเวลานานๆ ยิ่งทำให้อาการปวดเพิ่มขึ้น การลุกเดิน ก็จะช่วยให้คุณสดชื่นขึ้นหรือระหว่างนั่งทำงานก็นวดท้องตัวเองไปด้วย โดยนวดเป็นวงกลมเบาๆ และกดที่บริเวณท้องเล็กน้อย จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณท้องผ่อนคลายลง ช่วยคลายความเจ็บปวดและความตึงของกล้ามเนื้อ

 

ก็จบกันไปแล้วนะคะ สำหรับบทความนี้ เป็นอย่างไรกันบ้างคะ?ซึ่งเป็นวิธีแก้ปวดท้องง่ายๆ ที่ผู้หญิงควรรู้  หวังว่าท่านจะลองนำไปปรับใช้กันดูนะคะ หายปวดท้องเป็นปลิดทิ้งเชียวค่ะ

 

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูลอ้างอิงจากhttps://www.paolohospital.com/

เปิดตำรา “กินคลีน” ลดน้ำหนัก  สวัสดีค่ะทุกท่านอย่าลืมดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงกันด้วยนะคะ วันนี้ถือว่าเป็นอีกวันหนึ่งที่กำลังจะผ่านพ้นไป เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ ค่ะ สำหรับท่านที่ช่วงนี้กำลังลดน้ำหนักอยู่ ดิฉันก็ขอแนะนำ อาหารคลีนค่ะ อาหารคลีนถือว่าเป็นหนึ่งในทางเลือกของการกินอาหารเพื่อสุขภาพ อีกทั้งอาหารในลักษณะนี้ยังมีส่วนช่วยในเรื่องของการควบคุมน้ำหนัก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องออกกำลังกายและควบคุมอาหาร และแนวทางในการกินอาหารคลีนเหล่านี้กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้นในปัจจุบัน

 

 

เทคนิคการเลือกอาหารคลีนอย่างถูกวิธี มีดังนี้

1. เลือกกินอาหารที่มีความสดใหม่ไม่ผ่านการแปรรูป

อาหารคลีนที่ดีจะต้องมีความสดใหม่และไม่เป็นอาหารที่ผ่านการแปรรูปทิ้งเอาไว้ เพราะว่าในอาหารแปรรูปมักจะผ่านกระบวนการทางเคมีและการปรุงแต่งอันซับซ้อนหลากหลายขั้นตอนกว่าจะได้ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปสักชิ้นหนึ่ง ทำให้สารอาหารที่มีประโยชน์ถูกทำลายไประหว่างการผลิต

 

 

2. หลีกเลี่ยงอาหารบรรจุภัณฑ์สำเร็จรูป

อาหารกระป๋องเป็นหนึ่งในอาหารที่รับประทานสะดวก เพราะเราไม่จำเป็นต้องนำเอามาผ่านการปรุงใดๆ เพิ่มเติมอีก เราจึงสามารถที่จะแกะแล้วรับประทานได้ในทันที แต่ทว่าในความง่ายเหล่านี้กลับเต็มไปด้วยโทษอย่างมหาศาลหากเรารับประทานเป็นประจำทุกวัน เพราะมันล้วนอุดมไปด้วยปริมาณโซเดียมที่สูงลิ่ว

 

3. กินอาหารรสจืดผ่านการปรุงให้น้อยที่สุด

ตามหลักของการปรุงอาหารคลีนนั้นจะไม่เน้นไปที่รสชาติของอาหาร อาหารคลีนจึงมีความจืดชืดไร้รสชาติ ใครที่ต้องทำอาหารด้วยตัวเองแล้วละก็จำเป็นต้องลดการปรุงอาหารด้วยเครื่องปรุงรสต่างๆ ให้น้อยที่สุด เพราะในซอสปรุงรสเหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยสารปรุงแต่งทางเคมีที่ให้โทษต่อร่างกาย

 

4. เลือกวัตถุดิบแบบไม่ขัดสีสำหรับการทำอาหาร

ใครที่ต้องทำอาหารคลีนรับประทานเอง ก็ต้องใส่ใจในการเลือกวัตถุดิบ ตั้งแต่เครื่องปรุงรสไปจนถึงวัตถุดิบหลักๆ ไม่ว่าจะเป็น ข้าว ผักและเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะข้าวที่เราเลือกรับประทานคู่กับเมนูอาหารนั้นควรจะเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี เช่นข้าวกล้องและข้าวซ้อมมือ

 

5. ควบคุมอาหารไม่ใช่อดอาหาร

อาหารคลีนที่ดีจะต้องปราศจากไขมันอิ่มตัวหรือไขมันเลว จึงเหมาะสำหรับผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงของการควบคุมน้ำหนัก โดยอาจจะเน้นการรับประทานไปที่โปรตีนมากกว่าคาร์โบไฮเดรต และมีส่วนของกรดไขมันไม่อิ่มตัวบ้างตามหลักของโภชนาการอย่างเหมาะสม

 

เพียง 5 เทคนิคง่ายๆ นี้ก็จะทำให้เราสามารถแยกแยะได้แล้วว่าอาหารคลีนที่เรากำลังเลือกกินอยู่นั้นมีความเหมาะสมและถูกต้องมากน้อยเพียงไร เราควรจัดสรรแต่ละเมนูอาหารด้วยตัวเองเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ถูกต้องเหมาะสม ทั้งนี้! อย่าลืมใส่ใจสุขภาพด้วยการออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยนะคะ

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูลอ้างอิงจากhttps://www.organicbook.com

เคล็ด(ไม่)ลับ ท่า ฟิตกล้ามอก วันนี้มีเคล็ดลับดีๆ อยากจะมาแชร์กับคุณผู้ชายค่ะ นั่นก็คือ ท่า ฟิตกล้ามอก นั่นเองค่ะ ดิฉันเองก็เคยแอบสงสัยว่าทำไมผู้ชายถึงต้องชื่นชอบการเพาะกาย เล่นเวท ให้เหนื่อยด้วยเล่า พวกเขาก็คงจะตอบเป็นเสียงเดียวกันกลับมาว่า ก็เพื่อให้ร่างกาย แข็งแรง  ไม่มีไข้ หรือโรคภัยมาเบียดเบียน นะสิ!! แต่คำตอบมันจะเท่านั้นจริงๆ เหรอคะ??เหนือสิ่งอื่นใด ก็คงจะเป็นเรื่องของ เสน่ห์ นั่นเอง

 

ท่าที่ 1Barbell Bench Press

 

การฝึกด้วยท่าBarbell Bench Pressเริ่มต้นจากการนอนหงายหน้าลงบนเบาะ เท้าวางสนิทติดกับพื้น หงายมือทั้งสองข้างขึ้น จับบาร์เบลด้วยความกว้างกว่าหัวไหล่เล็กน้อย จากนั้นยกบาร์เบลออกมาจากที่พัก ในลักษณะที่แขนตึง แต่ไม่ล็อกข้อศอก เป็นท่าเตรียมฝึกท่าBarbell Bench Press

 

1. ค่อยๆ คลายกล้ามเนื้อหน้าอกออก งอแขน ลดบาร์เบลลงจนแตะยอดอก โดยให้แขนทำมุมประมาณ 70 องศากับลำตัว พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าจนสุด

2. จากนั้นเริ่มออกแรงเกร็งกล้ามเนื้อหน้าอกเพื่อยกบาร์เบลขึ้นจนสุดพิสัย เพื่อกลับสู่ท่าเตรียม พร้อมกับปล่อยลมหายใจออกจนสุด นับเป็น 1 ครั้ง

 

ท่าที่ 2Incline Dumbbell Press

การฝึกด้วยท่าIncline Dumbbell Bench Pressเริ่มต้นจากการนอนหงายหน้าลงบนเบาะเอียงขึ้น 45 องศา จับดัมเบล โดยหันฝ่ามือออกไปทางด้านหน้าของลำตัว ดันขึ้นในลักษณะที่แขนตึง แต่ไม่ล็อกข้อศอก เป็นท่าเตรียมฝึกท่าIncline Dumbbell Bench Press

 

1. ค่อยๆ คลายกล้ามเนื้อหน้าอกออก งอแขน ลดดัมเบลลงจนกล้ามเนื้อหน้าอกถูกเหยียดตัวจนสุดพิสัย โดยให้แขนทำมุมประมาณ 70 องศากับลำตัว พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าจนสุด

 

2. จากนั้นเริ่มออกแรงเกร็งกล้ามเนื้อหน้าอกเพื่อยกดัมเบลขึ้นจนสุดพิสัย เพื่อกลับสู่ท่าเตรียม พร้อมกับปล่อยลมหายใจออกจนสุด นับเป็น 1 ครั้ง

 

 

ท่าที่ 3Cable Fly

การฝึกด้วยท่าCable Fly (Lower Chest)เริ่มต้นจากการปรับรอกทั้งสองฝั่งให้อยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุด พร้อมกับคล้องด้ามจับเอาไว้ จากนั้นให้ไปยืนตรง แอ่นอก ตรงกลางระหว่างเคเบิ้ลทั้งสองข้าง เท้าทั้งสองข้างวางห่างกันประมาณหัวไหล่ จับด้ามจับทั้งสองอันแล้วดึงลงมา ให้มือทั้งสองข้างสัมผัสกันที่ความสูงประมาณสะโพก โดยหันฝ่ามือเข้าหากัน เป็นท่าเตรียมฝึกท่าCable Fly (Lower Chest)

 

1. เริ่มต้นจากการค่อยๆ คลายกล้ามเนื้อหน้าอกออก โดยให้แขนทั้งสองข้างถูกแรงของเคเบิ้ลดึงออกไปจนกล้ามเนื้อหน้าอกถูกเหยียดตัวจนสุด ในลักษณะที่แขนไม่เหยียดออกไปด้วย พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าจนสุด

 

2. ออกแรงเกร็งกล้ามเนื้อหน้าอก เพื่อดึงมือทั้งสองข้างกลับเข้าสู่ท่าเตรียม พร้อมกับปล่อยลมหายใจออกจนสุด นับเป็น 1 ครั้ง

 

ปัจจุบันนี้ผู้ชายเริ่มหันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น อาจเพราะกระแสการเพาะกาย หรือเล่นเวท กำลังมาแรงมาก โดยส่วนใหญ่จะมีการเล่นเวทกันเป็นกลุ่มใหญ่ สำหรับคนชอบ หรือแม้กระทั่งเล่นเวทกันในกลุ่มเพื่อนฝูง ซึ่งก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี มีการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ แถมยังได้สุขภาพดีอีกด้วย

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูลอ้างอิงจาก

1.https://fitdesignfitness.com/

2.https://planforfit.com/

สวย หล่อ หุ่นดี ด้วย 5 เทคนิค การลดน้ำหนักที่ดีและได้ผลคือ การลดที่ปริมาณไขมันสะสมในร่างกาย โดยมีวิธีการหลักๆ อยู่ 2 วิธี คือ ควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย โดยสองหลักการนี้จะทำงานกันเป็นทีม การควบคุมอาหารจะช่วยให้เราได้รับพลังงานและสารอาหารอย่างพอเหมาะ และการออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ช่วยเพิ่มการเผาพลาญพลังงาน และช่วยในการควบคุมน้ำหนัก จึงขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้

 

กฎข้อที่ 1 หลีกเลี่ยงอาหารขาวๆ

อาหารขาวๆ ในที่นี้โดยมากจะเป็นอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล อาหารกลุ่มนี้เป็นแหล่งพลังงานต้นในการดำรงชีวิตและการทำกิจกรรม ให้พลังงานสูง และทำให้เกิดกระบวนการสะสมไขมันได้ ถ้าหากทานมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ทานเลย เนื่องจากคนที่งดอาหารประเภทแป้งไปเลย หากออกกำลังกายหรือใช้แรงเยอะ ก็อาจทำให้เกิดการสูญเสียกล้ามเนื้อได้เช่นกัน เราควรเลือกทานคาร์โบไฮเดรตกลุ่มเชิงซ้อนเป็นหลัก อย่างข้าวซ้อมมือ มันเทศ ธัญพืช และถั่วต่างๆ หลีกเลี่ยงคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว ที่ประกอบด้วย แป้งสีขาวๆ อย่าง ข้าวขาว ขนมปังขาว น้ำตาลทรายขาว เส้นพาสต้า มันฝรั่ง

 

กฎข้อที่ 2 จัดสัดส่วน แบ่งมื้อเล็ก ทานบ่อยๆ

เทคนิคอีกอย่างของการลดน้ำหนักคือ การเฉลี่ยพลังงานที่ได้จากอาหารออกเป็นครั้งย่อยๆ ข้อดีคือช่วยให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นการช่วยกระตุ้นการเผาผลาญให้ร่างกาย และจัดสัดส่วนของอาหารโดยให้มื้อหลักอย่าง มื้อเช้า มื้อเที่ยง และมื้อเย็น ประกอบด้วย อาหารประเภทข้าวแป้ง 1 ส่วน ผักใบเขียว 2 ส่วน และเนื้อสัตว์ 1 ส่วน สำหรับมื้อที่เหลือเป็นของว่างระหว่างมื้อโดยให้ทานอาหารกลุ่มที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนกับโปรตีน

 

กฎข้อที่ 3 งดเครื่องดื่มที่ให้พลังงาน

เครื่องดื่มที่ให้พลังงานส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของน้ำตาลอยู่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลที่เติมแต่งรสชาติ หรือน้ำตาลที่มีอยู่ตามธรรมชาติ หรือแม้แต่เครื่องดื่มที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล เพราะเครื่องดื่มประเภท 0 แคลอรี่ จะทำให้ร่างกายเคยชินกับความหวาน และอาจทำให้ร่างกายลดการดึงพลังงานจากไขมันมาใช้ได้ ดั้งนั้น เพื่อให้ลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น ตัวเลือกที่ดีที่สุดคือ น้ำเปล่า

 

กฎข้อที่ 4 น้ำเปล่าตัวช่วยผอม

น้ำเป็นสิ่งสำคัญมากในการดำรงชีวิต การดื่มน้ำมากๆ จะทำให้ร่างกายได้น้ำอย่างเพียงพอ และลดการกักเก็บน้ำไว้ในร่างกาย ยิ่งในช่วงของการลดน้ำหนักควรดื่มน้ำให้มาก เพราะน้ำจะช่วยให้ร่างกายสดชื่น ทำให้รู้สึกอิ่ม และยังช่วยลดความอยากทานของหวาน

 

กฎข้อที่ 5 เหนื่อยทั้งสัปดาห์ มีมื้อปล่อยผีสักมื้อจะเป็นไร

ร่างกายต้องการการพักผ่อน การทำอะไรเดิมๆ ซ้ำๆ จะทำให้เกิดความเครียด การควบคุมอาหารก็เช่นกัน เมื่อตลอดสัปดาห์เคร่งเครียดกับการควบคุมพลังงานและสารอาหาร ควรหาเวลาให้ร่างกายและจิตใจได้พัก ทานสิ่งที่อยากทาน ในปริมาณที่พอเหมาะ

 

“เทคนิคยิ่งกินยิ่งผอมนี้จะได้ผลมาก ถ้าทำร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและการพักผ่อนอย่างเพียงพอ”

 

 

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูลอ้างอิงจากhttps://www.lovefitt.com

ผู้สูงอายุ กับ ระบบทางเดินอาหาร  วัยสูงอายุนั้น ระบบร่างกายก็จะเสื่อมประสิทธิภาพลง ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น เกิดโรคภัยไข้เจ็บ หรือทำให้ระบบร่างกายทำงานผิดปกติได้ ระบบทางเดินอาหาร ก็เป็นระบบที่มีความสำคัญต่อร่างกายของคนเรา เพราะร่างกายของเราต้องการอาหารในทุกวัน วันละ 3 มื้อเป็นอย่างน้อย เมื่อร่างกายทำงานผิดปกติ จึงเกิดปัญหาตามมานั่นเองค่ะ!

 

ระบบทางเดินอาหารของผู้สูงอายุ ที่เสื่อมประสิทธิภาพลง และทำให้คุณภาพชีวิตย่ำแย่ มีการทำงานในส่วนต่างๆ ที่สัมพันธ์กัน ดังนี้

 

   1. ช่องปากและฟัน เยื่อบุช่องปาก

เยื่อบุช่องปากจะบางลง แต่ยังสามารถแบ่งตัวเป็นปกติ น้ำลายจากต่อมน้ำลายลดลงบ้าง เนื้อฟันในผู้สูงอายุจะลดความทึบลง เหงือกร่นลงจากคอฟัน ขณะที่กระดูกขากรรไกรหดลงเรื่อยๆ ทำให้ฟันเริ่มโยกคลอนได้ง่าย และยิ่งเมื่อมีหินปูนมาเกาะเกิดการติดเชื้อซ้ำเติม เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้ฟันร่วงก่อนอายุ 50 ปี และนำไปสู่ภาวะทุพโภชนาการในที่สุด

 

2. หลอดอาหาร

เมื่อผ่านช่องปากมา ก็จะเป็นส่วนของการทำงานของหลอดอาหาร ความเสื่อมโทรมของร่างกาย จะทำให้การไหลผ่านของอาหารจากลำคอสู่กระเพาะอาหารช้าลง

 

   3. กระเพาะอาหาร

ต่อจากหลอดอาหาร อาหารที่กินก็จะเคลื่อนเข้าสู่กระเพาะอาหาร ซึ่งในผู้สูงอายุน้ำย่อยจากกระเพาะอาหารลดความเป็นกรดลง

 

   4. ตับ

น้ำหนักของตับจะลดลงถึง 25 % จากอายุ 20 ปี ถึง 70 ปี เนื่องจากเซลล์ตับลดจำนวนลง ปริมาณเลือดที่ไหลเวียนผ่านตับจึงลดได้ถึง 35 % จากอายุ 20 ปี ถึง 90 ปี ทำให้การกำจัดยาที่เข้าสู่ร่างกาย ช้าลง ผู้สูงอายุจึงมีความโน้มเอียงในการเกิดพิษจากยาและแอลกอฮอล์ได้ง่ายกว่าบุคคลทั่วไป

 

   5. ลำไส้

มีการเคลื่อนตัวช้าลง ทำให้ท้องผูกได้ง่าย ส่วนความสามารถในการดูดซึมอาหารไม่ลดลง โดยเฉพาะการดูดซึมไขมันไม่แตกต่างไปจากคนวัยหนุ่มสาว แต่การดูดซึมคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนลดลงเล็กน้อย

 

 

 

อย่างไรก็ตาม เราควรใส่ใจดูแลในเรื่องอาหารของผู้สูงอายุให้มีความเหมาะสม ทั้งปรุงอาหารที่มีความอ่อนนุ่ม เปื่อยยุ่ย เคี้ยวง่าย กลืนง่าย และย่อยง่าย รวมถึงวิตามิน อาหารเสริมที่จำเป็นด้วย

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูลอ้างอิงจากhttps://www.thaihealth.or.th

ลำไส้อักเสบ เกิดขึ้นได้อย่างไร  โรคลำไส้อักเสบเรื้อรังกันค่ะ ว่าแต่โรคนี้มันเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับระบบในร่างกายของเราได้อย่างไร?อย่ามัวสงสัยเลยค่ะ ไปติดตามพร้อมกันเลย โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease-IBD)เป็นกลุ่มโรคของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบ (Ulcerative Colitis)และโรคโครห์น (Crohn’s Disease)ซึ่งอาการลำไส้ใหญ่อักเสบ จะจำกัดอยู่เพียงบริเวณลำไส้ใหญ่ ขณะที่โรคโครห์น อาจเกิดขึ้นกับระบบทางเดินอาหารส่วนใดก็ได้ ตั้งแต่ปากไปจนถึงทวารหนัก ปกติมักเกิดที่ลำไส้เล็กส่วนปลายและลำไส้ใหญ่ส่วนต้น อย่างไรก็ตามทั้ง 2 โรคนี้ ส่งผลให้เกิดแผลและมีเลือดออกบริเวณระบบทางเดินอาหาร รวมถึงทำให้ลำไส้บีบตัวเร็วขึ้น ผู้ป่วยมักมีอาการปวดท้อง ท้องร่วงอย่างรุนแรง อ่อนเพลีย และน้ำหนักลด

 

อาการของโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังมีอาการทั่วไป ดังนี้

  • ปวดเกร็งช่องท้อง
  • ท้องเสีย มีตั้งแต่ถ่ายเพียงไม่กี่ครั้งไปจนถึงถ่ายบ่อยมากตลอดทั้งวัน ส่วนใหญ่มีมูกเลือดปะปน
  • เป็นไข้
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • อ่อนเพลีย
  • น้ำหนักลด
  • โลหิตจาง
  • อาจพบอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดตามข้อต่อ การมองเห็นผิดปกติ หรือมีแผลในปาก  โดยอาการเหล่านี้มักเป็นๆ หายๆ  เรื้อรังเป็นปี และกลับมาเป็นซ้ำอีก

 

การรักษาโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง

  • ดูแลอาหารและโภชนาการ ยังไม่พบว่าอาหารชนิดใดที่สามารถรักษาหรือมีผลทำให้โรคลำไส้อักเสบเรื้อรังแย่ลง แต่การรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ
  • รับประทานยา เพื่อให้เยื่อบุลำไส้คืนสู่สภาพปกติ ผู้ป่วยควรรับประทานยาสม่ำเสมอและพบแพทย์ตามนัด เพื่อควบคุมอาการไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำอีก
  • ผ่าตัด กรณีที่ใช้ยารักษาแล้วแต่ไม่สามารถควบคุมอาการได้ หรือผู้ป่วยที่มีเลือดออกมาก แพทย์อาจพิจารณารักษาด้วยการผ่าตัด ส่วนใหญ่ในผู้ป่วยลำไส้อักเสบสามารถรักษาหายขาด แต่ไม่แนะนำในผู้ป่วยโรคโครห์น เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ทั้งในลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยเรื้อรังที่เกิดพังผืดในลำไส้ จนเกิดภาวะลำไส้ตีบ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีภาวะขาดอาหาร แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดเป็นกรณีพิเศษ

 

โรคลำไส้อักเสบเรื้อรังอาจมีอาการไม่รุนแรง มักเป็นๆ หายๆ จนผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจ และปล่อยทิ้งไว้โดยไม่พบแพทย์  หากเกิดภาวะอักเสบต่อเนื่องและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เนื่องจากสูญเสียเกลือแร่ สารอาหาร และเลือดออกไปกับอุจจาระจำนวนมาก รวมถึงส่งผลให้ผู้ป่วยมีภาวะโลหิตจางและอาการแทรกซ้อนอื่นๆ จนมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ในที่สุด

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูลอ้างอิงจากhttps://www.samitivejhospitals.com

ภัยเงียบ มะเร็งกระเพาะอาหาร วันนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับโรคที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุด นั่นก็คือโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร นั่นเอง! โรคมะเร็งกระเพาะอาหารเป็นโรคที่ติดอันดับที่สี่ของมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุด จากสถิติในประเทศไทยพบว่า มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 1,100 ราย โดยการเกิดเนื้อร้ายของมะเร็งมักเกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์ของเยื่อบุกระเพาะอาหารซึ่งมีจำนวนมากผิดปกติจนก่อให้เกิดเป็นมะเร็ง ซึ่งโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกส่วนของกระเพาะอาหาร ทั้งยังสามารถกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นตับ ตับอ่อน ลำไส้ ปอดและรังไข่ รวมถึงต่อมน้ำเหลืองด้วย

 

ของหมักดอง อาหารรมควัน อันตรายที่คาดไม่ถึง !!  รู้หรือไม่ !! การรับประทานอาหารหมักดอง อาหารแปรรูป ปลาเค็ม อาหารปิ้งย่างรมควัน หรือแม้แต่การสูบบุหรี่ รวมไปถึงผู้ที่เคยเป็นโรคมะเร็งในอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย ก็ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระเพาะอาหารได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori)ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดการอักเสบ เกิดเป็นแผลในกระเพาะอาหาร และหากเป็นแผลเรื้อรังก็อาจทำให้กลายเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้ในที่สุด

 

 

อาการเบื้องต้นที่ควรสังเกต  เนื่องจากอาการจะเกิดขึ้นในกระเพาะอาหาร ทำให้คนทั่วไปมักคิดว่าตนเองเป็นแค่โรคกระเพาะธรรมดาๆ ดังนั้น หากมีอาการเหล่านี้ ควรหมั่นสังเกตและหาโอกาสไปพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไรแน่ จะได้รักษาให้ตรงจุดต่อไปค่ะ

 

  • อาหารไม่ย่อย รู้สึกไม่สบายท้อง
  • ท้องอืดหลังรับประทานอาหาร
  • คลื่นไส้เล็กน้อย
  • รู้สึกเบื่ออาหาร
  • แสบร้อนบริเวณหน้าอก

แต่หากมีอาการรุนแรงขึ้นดังต่อไปนี้ ขออย่าได้รีรอที่จะเข้ารับการตรวจค่ะ

  • รู้สึกอ่อนเพลีย
  • มีเลือดปนในอุจจาระ
  • อาเจียน โดยอาจมีอาเจียนเป็นเลือดได้
  • น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ปวดท้องหรือท้องอืดหลังรับประทานอาหารเป็นประจำ

 

วิธีป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร

  • เข้ารับการตรวจคัดกรองเมื่อมีอายุ 55 ปีขึ้นไป เพราะเป็นโรคที่รักษาได้ถ้าตรวจเจอในระยะแรก
  • งดอาหารที่มีรสเค็ม อาหารปิ้งย่างรมควันที่ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และทำให้เกิดมะเร็งได้
  • หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
  • รับประทานผักและผลไม้
  • ไม่สูบบุหรี่
  • รีบปรึกษาแพทย์หากพบว่ามีความเสี่ยงการเกิดโรค หรือเริ่มมีอาการที่น่าสงสัย

 

โดยอาการของโรคในระยะแรกอาจไม่มีอาการแสดงที่เฉพาะและอาจมีอาการคล้ายโรคอื่นๆ เช่น โรคกระเพาะอาหาร มีอาการเรื้อรัง คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลด ถ้าอาการเป็นมากขึ้น อาจมีอาการถ่ายดำ อาเจียนเป็นเลือด มีอาการซีด อ่อนเพลียตามมา เพราะฉะนั้น เราจึงควรสังเกตตัวเองให้ดีค่ะ เพื่อจะได้รู้ตัว และทำการรักษาได้อย่างตรงจุด ก่อนจะสายเกินแก้ค่ะ

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูลอ้างอิงจากhttps://www.phyathai.com/

8 วิธีป้องกัน กระเพาะปัสสาวะอักเสบ  วันนี้มีสาระความรู้ดีๆ เกี่ยวกับวิธีป้องกัน กระเพาะปัสสาวะอักเสบมาแชร์ค่ะ เป็นเรื่องที่อยู่ไม่ไกลตัวเลย แถมสำคัญอีกด้วย ไปดูกัน!!

 

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นหนึ่งในกลุ่มโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract InfectionหรือUTI)ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียจากบริเวณรอบท่อปัสสาวะ โดยส่วนใหญ่มักเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากผู้หญิงมีท่อปัสสาวะสั้น อยู่ใกล้กับช่องคลอดและทวารหนัก ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะผ่านทางท่อปัสสาวะได้โดยง่าย ขณะที่ผู้ชายมีท่อปัสสาวะยาวกว่าและอยู่ห่างจากทวารหนัก โอกาสที่เชื้อโรคจะผ่านเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะจึงมีน้อยกว่ามาก

 

 

 วิธีป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบ มีดังนี้

1. การกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน ทำให้เชื้อโรคในปัสสาวะเจริญเติบโตได้ดี ดังนั้น ถ้ารู้สึกปวดปัสสาวะต้องบังคับตัวเองให้เข้าห้องน้ำทันที

 

2. การดูแลรักษาสุขอนามัยบริเวณอวัยวะเพศไม่ดี โดยเฉพาะผู้หญิงหากทำความสะอาดไม่ถูกวิธี เช่น เช็ดทำความสะอาดจากด้านหลังมาด้านหน้า แทนที่จะเป็นจากด้านหน้าไปด้านหลังก็จะทำให้มีโอกาสติดเชื้อจากช่องคลอดและทวารหนักได้

 

3. การสวนล้างช่องคลอดด้วยยาปฏิชีวนะ ทำให้แบคทีเรียชนิดดีที่ทำหน้าที่ป้องกันเชื้อโรคถูกกำจัดออกไป จึงเกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ดังนั้นไม่ควรสวนล้างช่องคลอดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ การทำความสะอาดด้วยสบู่ธรรมดาก็เพียงพอแล้ว

 

4. การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ควรปัสสาวะทิ้งและทำความสะอาดร่างกายทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์

 

5.  การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เมื่อฮอร์โมนเพศหญิงลดลงทำให้ความชุ่มชื้นบริเวณเยื่อบุช่องคลอดและเยื่อบุท่อปัสสาวะ ซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อลดลงตามไปด้วย ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน หากมีการติดเชื้อซ้ำๆ อาจจำเป็นต้องใช้ยาปรับฮอร์โมนแบบเฉพาะที่ช่วย เช่น ยาเหน็บ แต่เนื่องจากการใช้ฮอร์โมนอาจมีผลข้างเคียงได้ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง

 

6. ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หากควบคุมโรคได้ไม่ดีก็มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำอยู่แล้ว

 

7. ผู้ป่วยที่ต้องรับประทานยากดภูมิต้านทาน มีโอกาสเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

 

8.  ผู้สูงอายุหลายรายเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เนื่องจากนอนหลับนานๆ โดยไม่ลุกมาปัสสาวะ จึงไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานผลไม้ที่มีน้ำมากๆ ก่อนเข้านอน

 

เอาล่ะค่ะ เมื่อได้สาระความรู้ดีๆ กลับไปแล้ว ลองนำไปปรับใช้ แก้ไขพฤติกรรมของเราในชีวิตประจำวันดูนะคะ และหากสังเกตเห็นว่าตัวเองมีอาการหนักเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่ง ก็ควรจะไปพบแพทย์ ดีกว่านะคะ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือการได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีค่ะ

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูลอ้างอิงจากhttps://www.bumrungrad.com/

เหล้า บุหรี่ อันตรายต่อตับแค่ไหน  บทความนี้จะพูดถึงเรื่อง เหล้า บุหรี่ กัน ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า สองสิ่งนี้ อยู่คู่คนมานานหลายศตวรรษกันเลยทีเดียว แถมยังเป็นที่นิยมชมชอบ ขาดไม่ได้ คุณรู้หรือไม่ว่า การสูบบุหรี่และดื่มเหล้ามีผลเสียต่อโรคตับอย่างร้ายแรง

 

 

รู้หรือไม่ว่า เหล้า บุหรี่ มีผลเสียต่อตับของเราอย่างไรบ้าง??

จากการวิจัยในผู้ป่วยที่เป็นพาหะโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี พบว่าในกลุ่มที่ติดเหล้าและบุหรี่กับกลุ่มที่ไม่สูบบุหรี่ไม่ดื่มเหล้า ทั้งสองกลุ่มมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งตับต่างกันถึง4 – 5เท่าเลยทีเดียวค่ะ

 

 

เหล้า แอลกอฮอล์ มีผลเสียต่อตับอย่างไร?

เหล้ามีส่วนประกอบของเอทิลแอลกอฮอล์ซึ่งมีผลเสียทำลายตับโดยตรง ในคนที่ดื่มเหล้าเป็นประจำสมรรถภาพในการทำงานของตับจะลดลง มักพบว่าจะมีไขมันพอกตับสูงและอาจจะมีปัญหาตับอักเสบเรื้อรัง มีโอกาสเกิดโรคตับแข็งและโรคมะเร็งตับตามมาได้สูงกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเหล้า

 

การสูบบุหรี่ มีผลเสียต่อตับอย่างไร?

ถ้าเราพูดถึงข้อเสียของบุหรี่เรามักจะนึกถึงแค่ว่ามีผลเสียต่อปอดเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วในบุหรี่มีสารพิษสูงซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่ออวัยวะที่ทำหน้าที่ในการกำจัดสารพิษโดยเฉพาะอวัยวะตับของเรา

 

มีการวิจัยพบว่าผู้ที่สูบบุหรี่มากกว่า20มวนต่อวัน มีโอกาสเกิดโรคตับอักเสบสูงมาก และเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดปัญหาตับแข็งเหมือนกับการดื่มเหล้าแอลกอฮอล์อีกด้วย

 

ในบุหรี่มีสารพิษ สารเคมีในปริมาณมากกว่า200ชนิด และมีมากกว่า100ชนิด ที่นับว่าเป็นสารพิษและกว่า40ชนิดที่ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นสารก่อมะเร็ง ในผู้ที่สูบบุหรี่ประจำทุกๆ วัน ตับต้องทำงานหนักเป็นพิเศษในการกรองสารพิษเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา ทำให้ตับอ่อนแอและเกิดปัญหาตามมาได้ง่าย จึงมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับอักเสบมากเป็นพิเศษ

 

ดังนั้น ผู้ที่เป็นโรคตับอยู่แล้ว จึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่เป็นพิเศษ เพราะยิ่งทำให้โรคทรุดลง และตับเป็นอวัยวะที่มักจะไม่บอกอาการล่วงหน้า จนกว่าเมื่อเรามีปัญหาสะสมรุนแรงถึงขั้นหนึ่งจึงจะแสดงอาการออกมา มีผู้ป่วยจำนวนมากที่พบอีกทีว่าเป็น ตับอักเสบ ตับแข็ง หรือพบว่าเป็น มะเร็งตับ โดยที่ก่อนหน้านี้ไม่แสดงอาการอะไรเลย

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูลอ้างอิงจากhttps://liver-thailand.com/

อวัยวะในร่างกายมนุษย์ก็เหมือนกับวิทยุเครื่องเก่า เมื่อผ่านการใช้งานนานวันเข้า ย่อมมีเสื่อมสภาพ ผุพัง  เป็นปกติธรรมดา แต่ทว่าเราสามารถดูแล รักษา ยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้นได้ โดยเฉพาะ “ตับ” ถือเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้ส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ดังนั้น เราไปเช็กกันเถอะ ว่าที่ผ่านมา เราดูแลตับ ได้ดีแค่ไหนกัน

 

7 เคล็ดลับ ทำให้ตับแข็งแรง

1. รักษาระดับน้ำตาลในเลือด ความดันเลือดและสุขภาพหัวใจให้คงภาวะปกติ หมั่นเช็กสุขภาพร่างกายอย่างครบถ้วน โรคเบาหวานที่เกิดจากภาวะตับสามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้อย่างเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องเพิ่มหรืออาศัยฮอร์โมนแต่อย่างใด

 

2. จำกัดปริมาณเกลือที่บริโภคในขนาดที่พอเหมาะกับร่างกาย หรือพูดง่ายๆ ไม่ทานเค็มเกินไป แม้ว่าโซเดียมอาจจะไม่ได้ส่งผลต่อความดันเลือด แต่ก็มีส่วนทำให้ตับแข็งได้

 

3. ดูให้แน่ใจว่าดื่มน้ำ 8 – 10 แก้วต่อวันแล้วหรือยัง? เพื่อช่วยรักษาระบบขับสารพิษที่ตับต้องคัดกรองแต่ละวัน ให้ทำงานได้คล่องตัวและรักษาระดับเลือดในร่างกายให้เป็นปกติ

 

4. อย่าพยายามทานยารักษาโรคด้วยตัวเอง เพราะตัวยาทุกชนิดจะต้องผ่านการคัดกรองดูดซับสารพิษที่ตับ ฉะนั้นถ้าทานยาในปริมาณที่มากเกินไป โดยไม่ได้รับการกำหนดปริมาณจากแพทย์ อาจทำให้ตับทำงานหนักและช้าลง

 

5. ออกกำลังกายทุกวัน นักวิจัยเชื่อว่า ความสัมพันธ์ระหว่างความอ้วนและปัญหาระบบตับนั้นเกี่ยวเนื่องกัน การมีน้ำหนักตัวที่มากเกินไป จะส่งผลต่อปัญหาตับในภายหลังได้

 

6. ทานอาหารและดื่มให้ถูกต้อง เพราะรู้อยู่แล้วว่าอาหารชนิดไหนดีหรือไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ไม่ถึงกับต้องงด แค่ลดพวกอาหารขยะ ฟาสต์ฟู้ด หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

 

7. อย่าพยายามอั้นปัสสาวะ เพราะตับมีหน้าที่กำจัดของเสียที่ร่างกายเราได้มาจากอาหารหรือสารที่เรารับเข้าไป เช่น ยา แอลกอฮอลล์ กาแฟ หรือสารที่เป็นพิษ เมื่อสารพิษผ่านตับ ตับจะทำหน้าที่ทำลายสารพิษนั้น ฉะนั้นการอั้นไม่ขับถ่ายออกไป จะทำให้ตับต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อพยายามขับออก

 

จากที่กล่าวมาข้างต้น ก็เป็นเคล็ดลับสุขภาพดีๆ ง่ายๆ ที่เราสามารถทำได้ แถมยังได้สุขภาพดีอีกด้วย รู้ทัน ป้องกัน ก่อนสาย

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูลอ้างอิงจากhttps://www.favforward.com

มะเร็งตับ (Liver Cancer)เกิดขึ้นเมื่อเซลล์บริเวณตับมีลักษณะหรือการทำงานผิดปกติแล้วพัฒนาเป็นมะเร็งในที่สุด หรืออาจเกิดจากการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งจากบริเวณอื่นมายังตับก็ได้ ซึ่งมะเร็งตับส่วนใหญ่ก็มักมีที่มาจากสาเหตุหลังนี้ ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับมักไม่แสดงอาการจนกว่าจะมีขนาดใหญ่ขึ้นมากซึ่งเป็นระยะที่ยากต่อการรักษา

 

อาการโรคมะเร็งตับ โรคมะเร็งตับมักไม่มีสัญญาณหรืออาการบ่งบอกในระยะแรกเริ่ม จนเมื่อมะเร็งพัฒนาถึงขั้นแสดงอาการจึงจะสังเกตได้ดังนี้

1.  น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ

2.  ไม่อยากอาหาร รู้สึกอิ่มแม้รับประทานไปเพียงเล็กน้อย

3.  คลื่นไส้ อาเจียน

4.  เจ็บช่องท้องส่วนบน โดยมักจะปวดบริเวณด้านขวา

5.  มีอาการบวมที่ช่องท้องหรือคลำพบก้อนที่ชายโครงด้านขวา เนื่องจากตับโต

6.  อาจคลำพบก้อนที่ชายโครงด้านซ้าย เนื่องจากม้ามโต

7.  ผิวหนังและตาเหลือง (ดีซ่าน)

8.  อุจจาระอาจมีสีซีดลง

9.  อ่อนแรงและเหนื่อยล้า

10. มีอาการคัน

11. เป็นไข้

 

 

การป้องกันโรคมะเร็งตับ

  • การป้องกันมะเร็งตับด้วยตนเองสามารถทำได้โดยการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งตับ โรคตับแข็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับมะเร็งตับอย่างมาก เนื่องจากจะทำให้เกิดแผลในตับจึงเสี่ยงต่อการพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งที่ตับได้สูง
  • การป้องกันมะเร็งตับจึงควรลดปัจจัยต่างๆ ที่อาจนำไปสู่โรคตับแข็งไปด้วย ได้แก่ การดื่มแอลกอฮอล์ให้พอดี หมั่นออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนักไม่ให้มากเกินไป โดยรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปริมาณไขมันที่บริโภค
  • การป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ทำได้ด้วยการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ และสามารถฉีดได้ทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็กทารก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ หรือแม้แต่ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอก็ตาม ส่วนไวรัสตับอักเสบซี ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

การหลีกเลี่ยงการติดต่อเชื้อทั้ง 2 ชนิดจากผู้อื่น ยังทำได้ด้วยการสร้างสุขอนามัยที่ดี เช่น ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่เสี่ยงติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น

 

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ?กับวิธีการป้องกันโรคมะเร็งตับของเรา เป็นวิธีการที่ง่ายแสนง่าย ดิฉันเชื่อว่า หากทุกคน ตระหนักถึงความสำคัญของโรคนี้ ใส่ใจ ย่อมหลีกหนีห่างไกลจากโรคนี้ อย่างแน่นอนค่ะ

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูลอ้างอิงจากhttps://www.pobpad.com

คุณรู้หรือไม่??พฤติกรรมเสี่ยงที่อาจเกิด ไขมันพอกตับ  หลายคนน่าจะคุ้นเคย กับ คำว่า ตับ ใช่ไหมคะ?แต่ทีนี้เนี่ย ตับมันมีประโยชน์อย่างไรกับร่างกายของเรานะ ว่าแล้วจะหาว่าคุย เจ้าตับเนี่ย นับได้ว่าเป็นอวัยวะสำคัญและถือว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาอวัยวะภายใน ตับของคนเราจะอยู่ใต้ชายโครงขวา มีหน้าที่หลักๆ คือการสร้างน้ำดีเพื่อช่วยย่อยอาหารประเภทไขมัน และทำลายสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย พร้อมกับช่วยกรองของเสียให้เป็นของดีเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เมื่อใดก็ตามที่ตับเกิดโรคหรือมีปัญหา เช่น มีไขมันพอกตับ ติดเชื้อไว้รัสตับอักเสบ ตับแข็ง ร่างกายส่วนอื่นๆ ก็จะแย่ไปด้วยทั้งระบบ

 

ไม่อยากเป็น “ตับแข็ง” หรือ “ไขมันพอกตับ” ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

ผู้ที่มีความเสี่ยงประเภทน้ำหนักตัวเกิน ชอบปาร์ตี้ ดื่มกินหนักๆ ติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี ถ้าไม่อยากเป็นโรคไขมันพอกตับ จนนำไปสู่โรคตับแข็ง ก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ สิ่งที่แพทย์แนะนำนั้นก็ทำได้ไม่ยาก เช่น

  • เลิกสูบบุหรี่ หรือไม่อยู่ในสถานที่ที่มีควันบุหรี่
  • เลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • ดื่มน้ำสะอาดมากๆ จิบน้ำบ่อยๆ
  • กินอาหารที่มีประโยชน์ ลดการกินของหวาน ของมัน
  • ออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 160 นาที
  • ระวังเรื่องน้ำหนักตัวอย่าให้เกินมาตรฐาน
  • ขับถ่ายเป็นประจำ ระวังอย่าให้ท้องผูก
  • หากมียาที่ต้องกินประจำควรปรึกษาแพทย์
  • รักษาโรคที่เป็นอยู่ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน ให้อยู่ในภาวะที่ปกติที่สุด

 

โดยส่วนใหญ่แล้วโรคที่เกิดขึ้นกับตับที่พบบ่อยจนเราคุ้นหู ก็คือโรค “ตับอักเสบ” ซึ่งสาเหตุหลักๆ จะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส และโรค “ตับแข็ง” ซึ่งเกิดจากการมี “ไขมันพอกตับ” จนทำให้เกิดเนื้อเยื่อแข็งมาสะสมแทนที่เซลล์ตับที่เสียไป หรือเกิดจากภาวะพิษสุราเรื้อรัง เชื้อไวรัส และการได้รับสารพิษต่างๆ สะสมในร่างกาย ผู้ป่วยโรคตับมักจะไม่มีอาการที่ชัดเจนจึงไม่ค่อยรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงหรือเกิดโรคแล้ว คนไข้ที่ไม่ได้รับการตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ จึงมักเข้ามาพบแพทย์เมื่อมีอาการลุกลามหรือเป็นหนักมากแล้ว

 

 

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูลอ้างอิงจากhttps://www.paolohospital.com/